ไม่ว่าใครที่มาเที่ยวที่นี่
แม้ว่าจะเป็นครั้งแรก ก็คงมองเห็นภูเขาลูกเล็กใจกลางเมือง หากมองจากมุมที่พอดี
ก็จะมองเห็นหอนาฬิกา (Uhrturm) แลนด์มาร์คเก่าแก่อันเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง
4.4.2014
ครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเดินขึ้นไปบน Schlossberg ฉันแวะทำธุระในย่าน old town ก่อน แล้วจึงเดินขึ้นไปตามทางเดิน
จากทางที่เชื่อมต่อกับถนนในย่าน old town นั่นแหละ
ช่วงนั้นเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิพอดี ทางเดินก็เลยเต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีดอกสีชมพู
กับสีขาวบานสะพรั่งอยู่สองข้างทาง สวนหย่อมเล็ก ๆ ด้านบน
มีดอกทิวลิปสีสดกำลังบานประชันโฉมกันอยู่พอดี จากจุดชมวิวบนนี้ มองลงไปเห็นบริเวณตัวเมืองที่มีแม่น้ำ
Mur ไหลผ่านได้อย่างชัดเจน โชคไม่ค่อยดีที่ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแล้ว
แถมท้องฟ้ามืดครึ้ม เลยยังเก็บภาพสวย ๆ ได้ไม่มากเท่าไหร่ แต่ยังไง ๆ ฉันก็ยังมีโอกาสอีกเยอะ
6.4.2014
ฉันแวะขึ้นมาบน Schlossberg อีกครั้งในอีกสองวันถัดมา คราวนี้ ฉันเลือกที่จะลองวัดพลังตัวเองซักหน่อย
ด้วยการเดินขึ้นบันไดหน้าผาที่ Sclossbergplatz ด้วยความตั้งใจว่าจะมาถ่ายรูปโดยเฉพาะ
แต่ยังไง ท้องฟ้าก็ยังไม่ค่อยเป็นใจอยู่ดี แต่เพื่อไม่ให้เสียความตั้งใจ ฉันก็เลยยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินสำรวจสถานที่ต่าง
ๆ บนนั้น แล้วก็เลยได้เรียนรู้เกร็ดประวัติศาสตร์ในยุคกลางของเมืองกราซไปด้วย
ฉันปีนบันไดจนมาถึง Herbersteingarten
หรือสวนลอยแห่งกราซ ซึ่งปลูกดอกไม้หลากหลายชนิด มีวิวสวย ๆ และเก้าอี้ให้เราได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ
ฉันใช้เวลาอยู่ที่นี่ค่อนข้างนาน เพื่อเก็บภาพดอกไม้ใบหญ้า วิวตัวเมืองกราซ และที่ขาดไม่ได้ก็คือหอนาฬิกา
ซึ่งมองเห็นได้ชัดมากจากจุดนี้ เพราะอยู่ถัดขึ้นไปจากสวนแค่ชั่วสิบก้าวเดิน ภาษาที่นี่เรียกหอนาฬิกาว่า
Uhrturm ฉันอ่านเจอในเว็บไซต์ท่องเที่ยวของเมืองว่า ในยุคกลาง
ราวๆ ค.ศ. 1560 หอนาฬิกาแห่งนี้ถูกใช้เป็น defense
tower จึงเป็นที่มาของทางเดินไม้รอบหลังคาอันเป็นเอกลักษณ์
ซึ่งสร้างไว้สำหรับหน่วยระวังไฟ
ฉันเดินต่อขึ้นมา
แวะดูใกล้ ๆ หอนาฬิกาซะหน่อย แล้วก็พบว่าเข็มนาฬิกาสีทองนั้นอันใหญ่มาก ฉันเดินผ่านสวนหย่อมที่มีดอกทิวลิป
มาจนถึงสิ่งก่อสร้างเหลี่ยม ๆ ทึบ ๆ ตั้งทะมึนอยู่ข้างหน้า ตามป้ายบอกว่า นั่นคือ Stable
bastion หรือป้อมปราการ มีกำแพงหนา 6 เมตร
ความสูง 20 เมตร ภายในป้อมเคยถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ
และเสบียงคลัง ส่วนลานด้านบนเป็นที่ตั้งของป้อมปืนใหญ่ บริเวณด้านล่างของป้อม
จะมีบ่อน้ำที่ถูกขุดไว้ลึกลงไปถึงระดับน้ำใต้ดิน เพื่อเป็นแหล่งน้ำยามที่เมืองถูกข้าศึกโอบล้อมเมือง
ว่ากันว่าในศตวรรษที่ 19 บ่อน้ำนี้ถูกขุดด้วยแรงงานของนักโทษชาวตุรกี
จึงเป็นที่มาของชื่อ The Turkish Well ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าการขุดบ่อความลึก
94 km นั้นมันจะเหนื่อยยากแค่ไหน
ระหว่างทางที่จะเดินขึ้นไปยังด้านบนของป้อมปราการ
ฉันแวะที่ Chinese Pavillian ก่อน ซึ่งจะบอกว่าดูเป็นศาลาไม้ทั่วไปที่ใช้เป็นจุดชมวิวก็ดูจะธรรมดาไปหน่อย
ตามประวัติแล้ว ศาลานี้ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ซุ้มระเบียงแบบ Romanesque ในปี 1890 สร้างมานานขนาดนี้
แต่ศาลายังคงอยู่ดีมีสุข แล้วก็มีความงามแบบเรียบ ๆ ที่ไม่ต้องมีลวดลายเยอะแยะ
ฉันเดินอีกหน่อย
ก็มาถึงบริเวณลานด้านบนของป้อม บนนั้นเก็บรักษาปืนใหญ่เก่าแก่ถึง 4 อัน ซึ่งเคยตกอยู่ในเงื้อมมือของกองทัพฝรั่งเศสในปี 1809 นอกจากนี้ เราจะพบบริเวณที่เคยเป็นหอสังเกตการณ์ตรงมุมทางทิศตะวันออกของป้อม
ซึ่งตอนนี้กลายเป็นจุดชมวิวที่ฉันคาดว่าน่าจะสูงที่สุดบน Schlossberg แล้ว
บนสนามหญ้าด้านนอก มีแผ่นกระดานกลมๆแบนๆที่มีสัญลักษณ์แปลก
ๆ แผ่นนึงวางหงายอยู่ในสนามหญ้า ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งอ่านป้าย
ถึงรู้ว่า นั่นคือ Artsat ศิลปะชิ้นแรกที่เกี่ยวข้องกับการไปเยือนอวกาศครั้งแรกของชาวออสเตรียในปี
1991 สัญลักษณ์แปลกๆที่เห็นในนั้นคือข้อความรหัสของ Blue
Danube Waltz ที่ถูกส่งมาจากนักบินอวกาศขณะลอยอยู่เหนือประเทศออสเตรีย
ฟังดูโรแมนติกไม่เบาเลยแฮะ
บริเวณถัดมาเป็นที่ตั้งของหอระฆัง
หรือ Glockenturm ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่อยู่ของระฆัง “Liesl”
ระฆังที่ใหญ่เป็นอันดับสามในแคว้น Styria ฉันเดินตามทางเดินเข้าไปสำรวจด้านหลังหอระฆัง
แล้วก็พบกับสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่เหลือเพียงแค่ส่วนฐาน ได้ความจากป้ายว่าคือ St.
Thomas Chapel ส่วนบริเวณใกล้ ๆ กับหอระฆัง
เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่อีกอย่าง คือ Kasematten stage ซึ่งเคยใช้เป็นเสบียงคลัง
และที่พักผ่อนสำหรับนักโทษ แต่ในปัจจุบัน ที่ตรงนี้ใช้เป็นที่จัดอีเวนต์ต่าง ๆ
เช่น โอเปร่า คอนเสิร์ต รวมทั้งตลาดตริสมาสต์
ฉันเดินผ่านส่วนที่มีต้นไม้ใหญ่
และสนามหญ้าเขียว ๆ พร้อมบ่อเก็บน้ำฝนเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางสวน ชื่อว่า The
Great Well ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1544 -1547 โดย Dominico dell’Alio ศิลปินชาวอิตาลี ฉันเดินมาจนถึงสถานที่สำคัญจุดสุดท้ายก็คือ
The Gothic Gate ซึ่งเป็นประตูหลังของป้อมปราการ
และรูปปั้นสิงโต hacker ซึ่งถูกสร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่นายพล
Franz Xaver Freiherr ผู้ซึ่งยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพฝรั่งเศส เมื่อเมืองกราซถูกบุกรุกในปี
ค.ศ. 1809 และที่ขาดไม่ได้เลยคือจุดชมวิว
ในความคิดของฉัน
จุดชมวิวที่นี่มีมากมาย แต่ละจุดก็จะมองเห็นเมืองกราซในมุมที่ต่างกันไป การเปลี่ยนจุดชมวิวไปยังอีกจุดอาจทำให้มองเห็นบางอย่างชัดเจนขึ้น
แต่ก็ทำให้มองไม่เห็นบางอย่างด้วยเช่นกัน
และหากตกลงปลงใจที่จะชมวิวแค่จุดแรกที่ไปถึง
ก็อาจไม่รู้เลยว่าวิวจากจุดอื่นนั้นสวยงามอย่างไร และอาจพลาดการมองเห็นบางแง่มุมของเมืองไปอย่างน่าเสียดาย....
FYI:
การขึ้นไปเที่ยว Schlossberg นั้นไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ
ยกเว้นว่าจะขึ้นรถราง (Schlossbernbahn) หรือลิฟท์ก็ต้องเสียค่าตั๋วกันหน่อย สามารถเข้าไปดูรายละเอียด
ตามเว็บไซต์ดังนี้ค่ะ
http://www.holding-graz.at/freizeit/schlossberg/tarife.html http://www.graztourismus.at/en/travel-and-transport/mobile-in-graz/bus-and-tram
http://www.holding-graz.at/freizeit/schlossberg/tarife.html http://www.graztourismus.at/en/travel-and-transport/mobile-in-graz/bus-and-tram
ปล 1. นอกจากจุดที่น่าสนใจทั้งหลายที่กล่าวมาแล้ว บน
Schlossberg ยังมีร้านอาหาร บาร์ รวมทั้งลานเบียร์
เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวนั่งชิลล์กันยามเย็นอีกด้วย
ปล 2. จากที่ลองขึ้นและลงหลายๆทาง (ยกเว้นลิฟท์) ฉันชอบทางเดินขึ้นจาก old
town ที่สุด เพราะมันสงบ ร่มรื่น บรรยากาศดี และได้ชมความงามของดอกไม้นานาพันธุ์ระหว่างเดินให้หายเหนื่อยอีกด้วย
:)








No comments:
Post a Comment