Schlossberg: ถ้าไม่ไป ก็ไปไม่ถึงกราซ



ไม่ว่าใครที่มาเที่ยวที่นี่ แม้ว่าจะเป็นครั้งแรก ก็คงมองเห็นภูเขาลูกเล็กใจกลางเมือง หากมองจากมุมที่พอดี ก็จะมองเห็นหอนาฬิกา (Uhrturm) แลนด์มาร์คเก่าแก่อันเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง
               
4.4.2014
ครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเดินขึ้นไปบน Schlossberg ฉันแวะทำธุระในย่าน old town ก่อน แล้วจึงเดินขึ้นไปตามทางเดิน จากทางที่เชื่อมต่อกับถนนในย่าน old town นั่นแหละ ช่วงนั้นเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิพอดี ทางเดินก็เลยเต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีดอกสีชมพู กับสีขาวบานสะพรั่งอยู่สองข้างทาง สวนหย่อมเล็ก ๆ ด้านบน มีดอกทิวลิปสีสดกำลังบานประชันโฉมกันอยู่พอดี จากจุดชมวิวบนนี้ มองลงไปเห็นบริเวณตัวเมืองที่มีแม่น้ำ Mur ไหลผ่านได้อย่างชัดเจน โชคไม่ค่อยดีที่ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแล้ว แถมท้องฟ้ามืดครึ้ม เลยยังเก็บภาพสวย ๆ ได้ไม่มากเท่าไหร่ แต่ยังไง ๆ ฉันก็ยังมีโอกาสอีกเยอะ



6.4.2014 
ฉันแวะขึ้นมาบน Schlossberg อีกครั้งในอีกสองวันถัดมา คราวนี้ ฉันเลือกที่จะลองวัดพลังตัวเองซักหน่อย ด้วยการเดินขึ้นบันไดหน้าผาที่ Sclossbergplatz ด้วยความตั้งใจว่าจะมาถ่ายรูปโดยเฉพาะ แต่ยังไง ท้องฟ้าก็ยังไม่ค่อยเป็นใจอยู่ดี แต่เพื่อไม่ให้เสียความตั้งใจ ฉันก็เลยยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินสำรวจสถานที่ต่าง ๆ บนนั้น แล้วก็เลยได้เรียนรู้เกร็ดประวัติศาสตร์ในยุคกลางของเมืองกราซไปด้วย


ฉันปีนบันไดจนมาถึง Herbersteingarten หรือสวนลอยแห่งกราซ ซึ่งปลูกดอกไม้หลากหลายชนิด มีวิวสวย ๆ และเก้าอี้ให้เราได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ฉันใช้เวลาอยู่ที่นี่ค่อนข้างนาน เพื่อเก็บภาพดอกไม้ใบหญ้า วิวตัวเมืองกราซ และที่ขาดไม่ได้ก็คือหอนาฬิกา ซึ่งมองเห็นได้ชัดมากจากจุดนี้ เพราะอยู่ถัดขึ้นไปจากสวนแค่ชั่วสิบก้าวเดิน ภาษาที่นี่เรียกหอนาฬิกาว่า Uhrturm ฉันอ่านเจอในเว็บไซต์ท่องเที่ยวของเมืองว่า ในยุคกลาง ราวๆ ค.ศ. 1560 หอนาฬิกาแห่งนี้ถูกใช้เป็น defense tower จึงเป็นที่มาของทางเดินไม้รอบหลังคาอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสร้างไว้สำหรับหน่วยระวังไฟ


ฉันเดินต่อขึ้นมา แวะดูใกล้ ๆ หอนาฬิกาซะหน่อย แล้วก็พบว่าเข็มนาฬิกาสีทองนั้นอันใหญ่มาก ฉันเดินผ่านสวนหย่อมที่มีดอกทิวลิป มาจนถึงสิ่งก่อสร้างเหลี่ยม ๆ ทึบ ๆ ตั้งทะมึนอยู่ข้างหน้า ตามป้ายบอกว่า นั่นคือ Stable bastion หรือป้อมปราการ มีกำแพงหนา 6 เมตร ความสูง 20 เมตร ภายในป้อมเคยถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ และเสบียงคลัง ส่วนลานด้านบนเป็นที่ตั้งของป้อมปืนใหญ่ บริเวณด้านล่างของป้อม จะมีบ่อน้ำที่ถูกขุดไว้ลึกลงไปถึงระดับน้ำใต้ดิน เพื่อเป็นแหล่งน้ำยามที่เมืองถูกข้าศึกโอบล้อมเมือง ว่ากันว่าในศตวรรษที่ 19 บ่อน้ำนี้ถูกขุดด้วยแรงงานของนักโทษชาวตุรกี จึงเป็นที่มาของชื่อ The Turkish Well ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าการขุดบ่อความลึก 94 km นั้นมันจะเหนื่อยยากแค่ไหน



ระหว่างทางที่จะเดินขึ้นไปยังด้านบนของป้อมปราการ ฉันแวะที่ Chinese Pavillian ก่อน ซึ่งจะบอกว่าดูเป็นศาลาไม้ทั่วไปที่ใช้เป็นจุดชมวิวก็ดูจะธรรมดาไปหน่อย ตามประวัติแล้ว ศาลานี้ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ซุ้มระเบียงแบบ Romanesque ในปี 1890 สร้างมานานขนาดนี้ แต่ศาลายังคงอยู่ดีมีสุข แล้วก็มีความงามแบบเรียบ ๆ ที่ไม่ต้องมีลวดลายเยอะแยะ



ฉันเดินอีกหน่อย ก็มาถึงบริเวณลานด้านบนของป้อม บนนั้นเก็บรักษาปืนใหญ่เก่าแก่ถึง 4 อัน ซึ่งเคยตกอยู่ในเงื้อมมือของกองทัพฝรั่งเศสในปี 1809 นอกจากนี้ เราจะพบบริเวณที่เคยเป็นหอสังเกตการณ์ตรงมุมทางทิศตะวันออกของป้อม ซึ่งตอนนี้กลายเป็นจุดชมวิวที่ฉันคาดว่าน่าจะสูงที่สุดบน Schlossberg แล้ว


บนสนามหญ้าด้านนอก มีแผ่นกระดานกลมๆแบนๆที่มีสัญลักษณ์แปลก ๆ แผ่นนึงวางหงายอยู่ในสนามหญ้า ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งอ่านป้าย ถึงรู้ว่า นั่นคือ Artsat ศิลปะชิ้นแรกที่เกี่ยวข้องกับการไปเยือนอวกาศครั้งแรกของชาวออสเตรียในปี 1991 สัญลักษณ์แปลกๆที่เห็นในนั้นคือข้อความรหัสของ Blue Danube Waltz ที่ถูกส่งมาจากนักบินอวกาศขณะลอยอยู่เหนือประเทศออสเตรีย ฟังดูโรแมนติกไม่เบาเลยแฮะ


บริเวณถัดมาเป็นที่ตั้งของหอระฆัง หรือ Glockenturm ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่อยู่ของระฆัง “Liesl” ระฆังที่ใหญ่เป็นอันดับสามในแคว้น Styria ฉันเดินตามทางเดินเข้าไปสำรวจด้านหลังหอระฆัง แล้วก็พบกับสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่เหลือเพียงแค่ส่วนฐาน ได้ความจากป้ายว่าคือ St. Thomas Chapel ส่วนบริเวณใกล้ ๆ กับหอระฆัง เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่อีกอย่าง คือ Kasematten stage ซึ่งเคยใช้เป็นเสบียงคลัง และที่พักผ่อนสำหรับนักโทษ แต่ในปัจจุบัน ที่ตรงนี้ใช้เป็นที่จัดอีเวนต์ต่าง ๆ เช่น โอเปร่า คอนเสิร์ต รวมทั้งตลาดตริสมาสต์


ฉันเดินผ่านส่วนที่มีต้นไม้ใหญ่ และสนามหญ้าเขียว ๆ พร้อมบ่อเก็บน้ำฝนเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางสวน ชื่อว่า The Great Well ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1544 -1547 โดย Dominico dell’Alio ศิลปินชาวอิตาลี ฉันเดินมาจนถึงสถานที่สำคัญจุดสุดท้ายก็คือ The Gothic Gate ซึ่งเป็นประตูหลังของป้อมปราการ และรูปปั้นสิงโต hacker ซึ่งถูกสร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่นายพล Franz Xaver Freiherr  ผู้ซึ่งยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพฝรั่งเศส เมื่อเมืองกราซถูกบุกรุกในปี ค.ศ. 1809 และที่ขาดไม่ได้เลยคือจุดชมวิว



ในความคิดของฉัน จุดชมวิวที่นี่มีมากมาย แต่ละจุดก็จะมองเห็นเมืองกราซในมุมที่ต่างกันไป การเปลี่ยนจุดชมวิวไปยังอีกจุดอาจทำให้มองเห็นบางอย่างชัดเจนขึ้น แต่ก็ทำให้มองไม่เห็นบางอย่างด้วยเช่นกัน และหากตกลงปลงใจที่จะชมวิวแค่จุดแรกที่ไปถึง ก็อาจไม่รู้เลยว่าวิวจากจุดอื่นนั้นสวยงามอย่างไร และอาจพลาดการมองเห็นบางแง่มุมของเมืองไปอย่างน่าเสียดาย....




                FYI: การขึ้นไปเที่ยว Schlossberg นั้นไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ ยกเว้นว่าจะขึ้นรถราง (Schlossbernbahn) หรือลิฟท์ก็ต้องเสียค่าตั๋วกันหน่อย สามารถเข้าไปดูรายละเอียด ตามเว็บไซต์ดังนี้ค่ะ 
http://www.holding-graz.at/freizeit/schlossberg/tarife.html http://www.graztourismus.at/en/travel-and-transport/mobile-in-graz/bus-and-tram
               
                ปล 1. นอกจากจุดที่น่าสนใจทั้งหลายที่กล่าวมาแล้ว บน Schlossberg ยังมีร้านอาหาร บาร์ รวมทั้งลานเบียร์ เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวนั่งชิลล์กันยามเย็นอีกด้วย

     ปล 2. จากที่ลองขึ้นและลงหลายๆทาง (ยกเว้นลิฟท์) ฉันชอบทางเดินขึ้นจาก old town ที่สุด เพราะมันสงบ ร่มรื่น บรรยากาศดี และได้ชมความงามของดอกไม้นานาพันธุ์ระหว่างเดินให้หายเหนื่อยอีกด้วย :)




Galerientage: ศิลปะ ผู้คน และดนตรี (#2)

11.5.2014
วันฝนโปรย กับการพบปะผู้คน

          จากเดิมที่ตั้งใจไว้ว่าจะตระเวนตามแกลอรี่ในตัวเมืองให้ครบก่อน แล้วถ้าเวลาเหลือ ค่อยเดินทางไปยังแกลอรี่ที่ไกลออกไป แต่เมื่อเห็นในโบรชัวร์ว่ามีดนตรีสดที่ Kunstgarten หรือ Art garden ตั้งแต่เปิดงานในตอนเช้า ฉันจึงต้องปรับแผนการเดินทางใหม่

ท้องฟ้ามืดครึ้มแต่เช้า ฉันขึ้นรถเมล์สายที่ไม่เคยนั่งเพื่อไปยัง Kunstgarten เมื่อลงจากรถ ก็เลยออกอาการหลงทิศหน่อย ๆ แต่ก็ถึงที่หมายทันเวลาเริ่มแสดง ที่หน้างาน ฉันพบกับหญิงสูงอายุที่พูดภาษาเยอรมันกับฉันเร็วปรื๋อ ฉันพยายามสื่อสารว่าพูดได้แค่นิดหน่อย ผู้หญิงอีกคนที่อายุน้อยกว่า ก็เลยเข้ามาคุยภาษาอังกฤษกับฉันแทน ก็เลยเพิ่งรู้เอาตอนนั้นว่างานมันต้องจองตั๋ว! แต่โชคก็ยังเข้าข้างเมื่อมีคนที่จองแล้วไม่มางาน 2 คน


ฉันนั่งอยู่แถวหลังสุดในห้องโถงของตัวบ้าน นั่งดูการบรรเลงดนตรีคลาสสิกของ Trio Charismax วงดนตรีหญิงล้วน 3 คน กับเครื่องดนตรี 3 ชิ้น อันได้แก่ เปียโน ไวโอลิน และเชลโล ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยจะรู้จักเพลงที่พวกเธอเลือกมาแสดงซักเท่าไหร่ แต่ก็เพลิดเพลินไปกับพวกเธอได้ตลอด ด้วยฝีมือที่เนี้ยบ การแสดงจึงไหลลื่น ผู้ชมจำนวนไม่มาก ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น และเป็นกันเอง ฝนเจ้ากรรมที่ทำให้ต้องย้ายมาแสดงในบ้าน แทนที่จะเป็นสวนนั้น เทลงมาตั้งแต่เริ่มการแสดง แต่พอจบการแสดง ฝนก็หยุดตกพอดี


เจ้าของสวนที่นี่เป็นคู่สามีภรรยาชาวออสเตรียท่าทางใจดี ตัวภรรยาพยายามพูดคุยแสดงการต้อนรับกับฉันเป็นภาษาเยอรมัน แต่เสียดายที่ฉันฟังไม่ค่อยออกเท่าไหร่ ก็เลยได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ส่วนผู้หญิงอายุน้อยกว่า เดาว่าน่าจะเป็นลูกสาว ก็น่ารักมาก เธอคอยจัดการเรื่องที่นั่งให้ฉัน และอธิบายตารางการแสดงคร่าว ๆ ให้ฟังเป็นภาษาอังกฤษ


ฉันคิดว่า Art garden นี้ ราวกับสถานที่ในฝัน มีตัวบ้านอันแสนอบอุ่น และสวนสวย ๆ ที่เป็น open air gallery งานประติมากรรมต่าง ๆ ถูกสอดแทรกไว้กับต้นไม้ ดอกไม้ สระน้ำ สร้างความรื่นรมย์ระหว่างเดินชมเป็นอย่างยิ่ง ฉันซึ่งมีความชอบดอกไม้ใบหญ้าอยู่แล้ว มาเจอสวนสวย บวกศิลปะ แถมดนตรีคลาสสิกเพราะ ๆ เข้าไปอีก ไม่มีอะไรจะอิ่มเอมใจเท่านี้อีกแล้ว เมื่อได้เวลาอันสมควร ฉันจึงต้องจำใจลาจากสวนสวรรค์แห่งนี้ไป เนื่องจากมีแกลอรี่อีกหลายแห่งรออยู่

กว่าจะไปถึงแกลอรี่แห่งที่สองได้นั้น เรื่องราวมันเริ่มจะกลับกลายจากสดใสเป็นดราม่า เมื่อรถเมล์ที่ฉันนั่งไม่จอดยังป้ายที่ฉันจะลง กว่าจะรู้ตัว ก็เลยมาแล้วสองป้าย ก็เลยต้องลงแล้วข้ามฝั่งมารอรถเมล์สายเดิม ซึ่งขณะนั้นฝนก็เทลงมาอย่างไม่ปราณีปราศรัย และเมื่อย้อนกลับมาลงป้ายปลายทางสำเร็จ ฉันก็ต้องหลงทิศอีกครั้ง เพราะแถวนี้เป็นย่านที่ฉันไม่คุ้นเคยเลย แต่การหลงทิศพร้อมกับมีฝนเทลงมาอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้ดราม่าเข้มข้นขึ้นเป็นสองเท่า ฉันเดินย้อนไปย้อนมาอยู่แถวป้ายรถเมล์หลายนาที จนกระทั่งแน่ใจว่าตึกสีส้มที่อยู่เยื้องไปอีกฝั่งถนนคือ Museum der Wahrnehmung ฉันจึงวิ่งกระหืดกระหอบข้าไปหลบฝน จัดแจงแขวนเสื้อนอกและผ้าพันคอเปียก ๆ ไว้ที่ราวหน้าประตู ก่อนที่จะเข้าไปชมนิทรรศการชื่อ "Poetry of repetition" ของศิลปินหญิงนามว่า Helga Philipp งานของเธอมีความเรียบง่าย แต่ก็เตะตา บางชิ้นเพิ่มลูกเล่นด้วยการให้เรามองภาพผ่านกระจก สมกับคอนเซปท์ illusion


เมื่อฝนเริ่มซา ฉันออกเดินทางไปยัง Rhizom im Labor และพบว่าผู้ดูแลนิทรรศการเป็นชายสูงวัยร่างสูง แต่งตัวคล้ายบาเทนเดอร์ เมื่อชมนิทรรศการ "SVA – Social Venture Analysis" เป็นที่เรียบร้อย เขาก็เชื้อเชิญให้ฉันดื่มกาแฟฟรี และยังใจดีแถมปลาชิ้นเล็ก ๆ ให้ฉันกินชิ้นนึง เราสนทนากันพอหอมปากหอมคอเกี่ยวกับนิทรรศการ และฉันก็ได้รู้ว่าฉันคือผู้เข้าชมคนแรกของวันนี้ และเมื่อฉันขอตัวกลับ เขายิ้ม “มีอีกหลายที่ที่ต้องไปใช่มั้ย?” ฉันยิ้ม แล้วพยักหน้าแทนคำตอบ



ที่ Galerie Zimmermann Kratochwill ผู้ดูแลนิทรรศการซึ่งเป็นชายวัยกลางคน ได้อธิบายถึงผลงานของ Lukas Troberg ว่ามีพื้นฐานมาจาก street art และ graffiti และนิทรรศการชื่อ “Yolo” ก็เป็นงานแสดงเดี่ยวครั้งแรกของเขา ซึ่งงานแนวนี้ฉันไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ ส่วนอีกฟากนึงของแกลอรี่นั้นรวบรวมผลงานภาพเขียนของ Markus Dressler ซึ่งเป็นภาพวาดแบบที่ฉันชอบมาก บางภาพเอาไปประกอบนิทานได้สบาย


สิ่งที่ฉันสังเกตได้ คือศิลปินที่ได้แสดงเดี่ยวนั้น ผลงานมักจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองสูงมาก อย่างในนิทรรศการภาพถ่ายของ Matthias Olmeta ซึ่งจัดแสดงที่ Atelier Jungwirth ภาพถ่ายขาวดำหน้าตรงของคน ปลา กระดูก ดอกไม้ ฯลฯ ถ้าเห็นที่อื่นฉันคงจำได้ทันทีว่าเป็นผลงานของคนคนนี้ และเมื่อบังเอิญเข้าไปเจอช่วงศิลปินพบปะผู้ชมอยู่พอดี ก็เลยได้ฟังที่มาที่ไป และแรงบันดาลใจ จากปากเจ้าของงานเลยทีเดียว


เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง สำหรับอีก 4 แกลอรี่ ฉันเร่งฝีเท้า และหวังว่าจะเพิ่มสปีดในการเข้าชมในแกลอรี่ถัดไป แต่เมื่อมาพบกับคุณลุงผู้ดูแลนิทรรศการอัธยาศัยดีที่ Galerie Leonhard ความตั้งใจก็เป็นอันต้องล้มเลิก ที่นี่จัดแสดงผลงานของ John Carter ซึ่งคุณลุงผู้หน้าตาละม้ายคล้ายผู้พันแซนเดอส์ ได้เล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับเทคนิคการสร้างผลงาน และยังบอกอีกว่า Carter นั้นเพิ่งแสดงผลงานของเขาใน London ก่อนจะมาที่นี่ เราเสวนากันอย่างสนุกสนาน แลกเปลี่ยนงานชิ้นที่ชอบที่สุด เรื่อยไปจนถึงบ้านเกิดเมืองนอน ฉันอมยิ้มเมื่อได้รู้ว่าตาลุงแกเคยไปเมืองไทยอยู่ 2 ครั้ง และชอบกินต้มยำกุ้ง ก่อนจากกัน เขาอวยพรฉันเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำว่า “โชคดีครับ” ฉันก็ได้แต่หวังว่าฉันจะโชคดีอย่างที่ลุงแกบอก เพราะตอนนี้ใกล้ห้าโมงเข้าไปทุกทีแล้ว


ฉันตัดสินใจ ข้ามแกลอรี่ไปสองแห่ง เพื่อไปยังแห่งสุดท้าย ที่อยู่ใกล้ที่พักที่สุด แต่เมื่อฝ่าสายฝนที่ตกหนักลงมาเรื่อย ๆ จนมาถึง ก็พบว่า “Forum Stadtpark” นั้นปิดล็อกแล้ว ผู้ดูแลนิทรรศการซึ่งคราวนี้เป็นชายหนุ่ม ได้ออกมาเปิดประตูให้เข้าไปหลบฝน และอนุญาตให้อยู่รอจนฝนซาได้ ฉันจึงละเลียดไล่ดูผลงานแต่ละชิ้นอย่างเชื่องช้า “In, Out and Art” ชื่อนิทรรศการช่างเหมาะเจาะ เพราะสองวันมานี้ ฉันเข้า ๆ ออก ๆ แกลอรี่เป็นว่าเล่น งานศิลป์ที่นี่มีทั้งภาพวาด ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว และประติมากรรมของศิลปินหลายคน เมื่อดูจนทั่วแล้ว แต่ข้างนอกฝนยังคงกระหน่ำ ก็เลยต้องไปไล่ละเลียดดูโบรชัวร์อีเวนท์ต่าง ๆ เก็บมาบ้าง วางคืนบ้าง จนกระทั่งเสื้อนอกเริ่มแห้ง และฝนตกในระดับที่พอวิ่งฝ่าได้ ฉันจึงขอบคุณและบอกลาชายหนุ่มใจดีผู้นั้น


ฉันปิดท้ายวันแห่งแกลอรี่อันชุ่มฉ่ำ ด้วยการผลุบเข้าไปในร้านอาหารที่ใกล้ที่พักที่สุด แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามีคนเชื้อสายแอฟริกันเต็มไปหมด เมื่อเข้าไปนั่งสงบอารมณ์ แล้วเปิดเมนู ก็พบว่า โธ่เอ๊ย! ก็นี่มันร้านอาหารแอฟริกัน แต่ถึงอย่างนั้นข้าวผัดแอฟริกันสไตล์ก็อร่อยเกินคาด ส่วนชาวานิลลาหอมกรุ่นนั้น ก็ช่วยเพิ่มความอบอุ่น หลังจากที่ตัวเปียกสลับแห้งมาตลอดทั้งบ่าย




ฉันเพิ่งรู้ว่า การได้พบกับผู้คนที่น่าประทับใจนั้น ถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของชีวิต มีผู้คนอีกมากมายที่ฉันยังไม่ได้เอ่ยถึง เช่น หญิงชรา ผู้พยายามบอกฉันเรื่องรถเปลี่ยนเส้นทาง หรือชายชราสูบบุหรี่จัด ผู้พยายามอธิบายวิธีขึ้นรถเมล์ให้ฟัง แล้วก็มานึกได้ว่ายังไม่เจอผู้ดูแลนิทรรศการคนไหนทำหน้าบึ้งเลยสักคน บ้านนี้เมืองนี้ช่างมีความสุขล้นเหลือจริง ๆ นี่คงเป็นประสบการณ์ที่ฉันอาจหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้

Galerientage: ศิลปะ ผู้คน และดนตรี (#1)

9.5.2014
         ฉันยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ พลางอ่านป้ายโฆษณาที่แปะตามข้างฝาไปเรื่อย ภาษาเยอรมันถือเป็นเรื่องใหม่ในชีวิตที่ต้องทำความคุ้นเคย ขณะที่มองผ่านไปมาสายตาก็พลันไปสะดุดกับแผ่นป้ายสีเขียวอมฟ้า คำว่า Galerientage ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมก็พอจะเดาออก ว่ามีความเกี่ยวข้องกับคำว่า Gallery ฉันถ่ายภาพป้ายนั้นเก็บไว้

เมื่อกลับถึงที่พัก ฉันรีบตามหาเว็บไซต์ที่ระบุไว้ในป้าย เมื่อดูรายละเอียด ฉันพบชื่อแกลอรี่ที่ไม่คุ้นตาหลายชื่อ พร้อมแผนที่แสดงตำแหน่งภายในตัวเมืองกราซ (Graz) เมืองที่ซึ่งฉันเพิ่งเข้ามาทำความรู้จักได้เพียงเดือนเศษ งานศิลปะร่วมสมัยตามแกลอรี่ต่าง ๆ กว่ายี่สิบแห่งทั่วเมือง เปิดให้เข้าชมฟรีเป็นเวลา 3 วัน ฉันพลาดวันแรกไปแล้ว แต่อีกสองวันถัดไปยังพอมีเวลา

10.5.2014             
วันแห่งแกลอรี่ เริ่มต้นที่ซุปมะเขือเทศ...

           ถือเป็นเช้าวันเสาร์ที่อากาศสดใส ฉันเดินเตร่ไปแถวตลาด farmer market เพื่อหาอะไรใส่ท้อง แล้วมุ่งหน้าไปยังแกลอรี่แห่งแรกตามแผนการที่วางไว้ อันที่จริงแล้ว ฉันเองก็ไม่ได้อินกับ contemporary art ขนาดนั้น แต่ความอยากเปิดหูเปิดตา บวกกับความอยากสัมผัสตัวเมืองในส่วนที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตบ้าง และอาจจะบวกกับความอยากหาอะไรทำฆ่าเวลาในวันหยุดแบบไม่ต้องหมกตัวอยู่ในห้อง ทำให้ฉันมายืนอยู่ตรงหน้าแกลอรี่แห่งแรก

… at  <Rotor>; “Measures of Saving the World_Part 5

           รู้ตัวอีกทีฉันก็ยืนจ้องขวดอะไรซักอย่างที่หน้าตาเหมือนขวดแยม มีลายมือเขียนลวก ๆ แปะไว้ข้างขวดว่ามันคือ Stoyanov’s special tomato product เอาล่ะ ฉันรู้สึกว่าใครก็ตามที่จัดแสดงงานในส่วนนี้นี่ช่างชาญฉลาดเอามาก ๆ ที่ดัดแปลงทางเดินแคบ ๆ ให้กลายเป็นเหมือนห้องนั่งเล่น ที่มีเรื่องราวของซุปมะเขีอเทศอยู่ตามกำแพง คุณแค่เดินผ่านเข้าประตูเข้ามา หันไปด้านซ้ายจะพบโซฟาน่านั่ง พร้อมหูฟังบนโต๊ะ ส่วนเจ้าขวดที่ตั้งโดด ๆ บนหิ้งเล็ก ๆ ที่ดึงดูดสายตา ก็คือขวดที่ฉันได้มายืนจ้องอยู่นี่แหละ ส่วนบนกำแพงถัดไปมีทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ที่ฉันดูแล้วก็เข้าใจว่า “อ่อ นี่ลงทุนปลูกมะเขือเทศเพื่อมาทำซุป 1 ขวดเหรอ” แต่เมื่อฉันอ่านป้าย ก็ได้ความกระจ่างว่าเจ้าของงาน (Kamen Stoyanov) ตั้งใจจะดัดแปลงเกม Farmville เกมปลูกผักยอดฮิตในโลกออนไลน์ให้กลายเป็นของจริง ฉันผู้ซึ่งคุ้นเคยว่างานศิลปะคือภาพวาด ก็ได้แต่ร้องโอ้โหในใจ จะว่าพิลึกก็ใช่ แต่ก็ทึ่งในไอเดียมากเช่นกัน ตัวเจ้าของงานเองก็คงสนุกสนานกับงานนี้มาก ถึงขั้นแต่งเพลงสนุก ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ครั้งนี้ไว้เลยทีเดียว  :)




… at Mariahilferkirche; “JA JA JA, NEIN NEIN NEIN! Sprachbilder

เมื่อการเริ่มต้นน่าประทับใจ ก็ส่งผลทำให้การเข้าชมแกลอรี่ต่อ ๆ ไปมีความสนุกสนาน หลังจากร่ำลากับผู้ดูแลนิทรรศการผู้มีอัธยาศัยไมตรีอันดีงามสุด ๆ ฉันออกเดินมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณใจกลางเมือง แวะเสพงานศิลป์ร่วมสมัยในโบสถ์แห่งหนึ่ง ที่บรรยากาศดูเหมือนงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ของผู้นิยมศิลปะร่วมสมัย ด้วยมีขนมและเครื่องดื่มไว้บริการ บรรดาแขกเหรื่อยืนจิบไวน์ พลางสนทนากันชิลล์ ๆ ฉันนึกในใจว่า Werner Hofmeister เจ้าของผลงานในนิทรรศการที่นี่น่าจะมีชื่อเสียงพอตัว ฉันเดินดูงาน verbal image ของเขาแบบเพลิน ๆ บางอันก็ตีความพอได้ บางอันก็นึกอะไรไม่ออก แต่โดยรวมก็ถือว่าสนุกสนานใช้ได้ 



… at Atelier Contemporary; “For your information II”

ฉันแวะเข้าแกลอรี่ที่ดูคล้ายจะเป็นจุดบริการข้อมูล เนื่องจากมันมีขนาดแค่ 1 ห้องแถว 1 ชั้น ไม่มีบันได หรือซอกหลืบใด ๆ ซ่อนอยู่ (ที่รู้เพราะพยายามหาดูจนทั่วแล้ว) แล้วก็ชื่อนิทรรศการ “For your information II” นี่แหละที่พาสับสน ฉันถ่ายภาพกล่องไฟสามสี (cyan, magenta, yellow) ไว้เป็นที่ระลึก แล้วก็ออกเดินต่อ


... at Reinisch Contemporary; "Dazzling Array"

              อีกหนึ่งอึดใจ ฉันก็มายืนอยู่หน้าเจ้างานประติมากรรมลวดดัดรูปลูกบาศก์เบี้ยว ๆ ที่มีผ้า และเส้นด้ายหลากสีขึงอยู่ ฉันว่ามันดูมีเสน่ห์น่าค้นหา เพราะความไม่สมบูรณ์แบบของมันนี่แหละ ในแกลอรี่นี้ยังจัดแสดงงานศิลป์อีกหลายแบบ ทั้งภาพวาด ภาพถ่าย ภาพกราฟฟิค ฯลฯ ฉันรู้สึกได้เปิดหูเปิดตาทางศิลปะขึ้นมาอีกนิดหน่อย 


ภายนอกแกลอรี่คือลานน้ำพุ หน้าศาลาว่าการเมือง (Rathaus) ที่กำลังจัดงานออกร้านขายของทำมือเนื่องในโอกาส Muttertag หรือวันแม่แห่งชาติของชาวออสเตรียพอดี แถมมีดนตรีกึ่งพื้นเมืองกึ่งร่วมสมัยขับกล่อม ทำให้บรรยากาศงานอบอุ่น น่าเดินเล่นสุด ๆ แต่ฉันก็ต้องอดใจไม่ซื้ออะไรติดมือกลับไป เพราะเพิ่งเสียเงินให้ตลาดเทศกาลอีสเตอร์ที่เพิ่งผ่านมาหมาด ๆ ฉันเดินข้ามทางรถราง ผ่านร้านค้าต่าง ๆ เข้าสู่บริเวณ old town และเริ่มดำเนินการตามแผนการเข้าชมแกลอรี่อีก 6 แห่งในย่านนี้ อันที่จริงแกลอรี่แต่ละแห่ง ล้วนอยู่ในเส้นทางที่เคยเดินผ่านมาแล้วแทบทั้งสิ้น ทว่า ฉันไม่เคยสังเกตเห็นมัน เพราะมัวแต่ให้ความสนใจกับสิ่งอื่นมากกว่า



… at Galerie Grazy; “Earth & Copyright”

                เรื่องที่ทำให้ใจเต้นเริ่มขึ้น เมื่อฉันตามป้ายบอกทางเข้าไปในตรอก ๆ นึง แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ ตรอกก็ยิ่งแคบลง ๆ จนกระทั่งฉันเห็นผู้ชายมาดเซอร์ไว้หนวดเครา นั่งสูบบุหรี่ขวางตรอกอยู่ ฉันหยุดกึก แหงนหน้าดูป้ายเพื่อความชัวร์ ก้าวขาไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว แต่ในใจคิดไปแล้วว่า กลับเหอะ! วินาทีที่กำลังจะหันหลัง ชายคนนั้นก็หันมาทักทายแบบเฟรนลี่ที่สุดเท่าที่หน้าตาและทรงผมจะเอื้ออำนวย ฉันเลยถึงบางอ้อว่า ตาคนนี้นั่งอยู่ตรงทางเข้าห้องจัดแสดง และคงเป็นหนึ่งในศิลปินเจ้าของงาน
ห้องจัดแสดงถูกสร้างขึ้นด้วยการก่ออิฐฉาบปูนอย่างง่าย ๆ ปูพื้นด้วยไม้กระดาน งานศิลปะในนั้นให้อารมณ์แบบวัยรุ่น ที่แม้งานจะไม่เนี้ยบ แต่มีความดิบ และอัดแน่นไปด้วยพลังสร้างสรรค์ ถ้าให้เปรียบกับดนตรี ก็จะนึกถึงงาน demo ที่เต็มไปด้วยความสดใหม่ และไม่มีใครเหมือน 



เวลาล่วงเลยมาถึงตอนบ่ายแก่ ๆ ฉันเดินเข้าออกแกลอรี่ไปอีก 5 แห่ง เป็นวันแรกในรอบหลายเดือน หรืออาจจะหลายปี ที่ได้ใช้งานสมองซีกขวาอย่างเต็มที่ และได้เปิดใจให้สนุกไปกับความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินมากหน้าหลายตาที่ฉันไม่เคยรู้จัก เมื่อเดินดูไปเรื่อย ๆ ก็พบเจอกับความแปลกใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ มีทั้งความหลากหลาย การผสมผสาน จินตนาการ นับเป็นประสบการณ์ที่ดีงามครั้งหนึ่งในชีวิต


… at Kunstlerhaus – Halle fur Kunst & Medien; Words as Doors – in Language, Art, Film

แกลอรี่แห่งสุดท้ายของวันนี้ อยู่ไกลออกมาจากบริเวณ old town ก่อนที่ความเมื่อยล้าจะเริ่มมาเยือน ฉันก็สาวเท้ามาถึงหน้าประตูทางเข้าพอดี เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็พบกับพนักงานต้อนรับท่าทางยิ้มแย้ม เชื้อเชิญให้ฉันเข้าไปในห้องจัดแสดง พร้อมหยิบยื่นเอกสารประกอบนิทรรศการให้ และอธิบายคร่าว ๆ ฉันกล่าวขอบคุณเธอ แล้วผลักประตูอีกบานเข้าไปยังโถงใหญ่ งานศิลป์ในนี้มีความเกี่ยวข้องกับถ้อยคำ และภาษาของภาพยนตร์ อุปสรรคสำคัญในการชมงานนี้คือ ฉันยังแปลภาษาเยอรมันยาก ๆ ไม่ออก น่าเสียดายมากที่อยากจะเข้าใจแต่ดันมีกำแพงภาษามากั้น ฉันก็เลยได้แต่เก็บไอเดียการจัดวางงาน installation ต่าง ๆ เผื่อว่าสักวันนึงอาจมีโอกาสได้หยิบไปใช้ 



เหลืออีกชั่วโมงกว่า ๆ ก่อนจะถึงเวลาปิดแสดงในวันนี้ ฉันยุติการตระเวนแกลอรี่ของวันนี้ไว้ก่อน ให้แข้งขาได้พักผ่อน ให้สมองได้ตกตะกอนความคิด และเก็บแรงไว้เผื่อพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน