Schloss Eggenberg: ปราสาทเชิงเขา



18.5.2014   
            
ฉันกำลังนั่งพิจารณาโบรชัวร์มากมาย ที่หยิบติดมือมาจาก Galerientage ที่ผ่านมา แม้จะเป็นภาษาเยอรมันทั้งหมด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด และเมื่อสายตาฉันไปสะดุดกับคำว่า “Eintritt frei” ฉันนึกเดาในใจว่าน่าจะหมายถึง free entrance

สถานที่ ที่เปิดให้เข้าชมฟรีในวันนี้คือ Schloss Eggenberg สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งได้เป็น UNESCO world heritage site เมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา อันที่จริง ฉันเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เพราะกระชั้นชิดเวลาปิดเกินไป จึงเข้าชมได้แค่บางส่วน และวันนี้ แม้ว่าบรรยากาศจะครึ้มฟ้าครึ้มฝน ฉันก็ตัดสินใจลุกขึ้นแต่งตัว เตรียมข้าวของ โดยไม่ลืมที่จะหยิบร่ม แล้วออกไปนั่งรอรถรางในที่สุด

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถรางสาย 1 พาฉันมาถึงป้าย Schloss Eggenberg ระหว่างที่เดินเข้าไปยังตัวปราสาทนั้น ไกลออกไป เมฆฝนยังคงลอยทะมึนอยู่เต็มท้องฟ้า และมีเสียงฟ้าร้องเป็นระยะๆ ฉันเร่งฝีเท้า พลางคิดว่าคงจะเข้าไปหลบฝนในตัวปราสาทได้ คราวนี้ ฉันมุ่งหน้าไปเก็บส่วนที่พลาดไปในคราวที่แล้ว ได้แก่ ห้องทั้งหลายในตัวปราสาท พิพิธภัณฑ์โบราณคดี และสวนหลังปราสาท……





1.    State Rooms: ห้องต่างๆในตัวปราสาทนั้น หากจะเข้าชมต้องมีไกด์พาทัวร์ ตอนที่ฉันไป ถึงแม้จะเปิดให้เข้าฟรี แต่ก็ต้องไปรับตั๋วสำหรับเข้าชมห้องต่างๆเหล่านี้ โดยรอบเวลาที่เราได้เข้าชมก็จะระบุไว้ในตั๋ว แม้ว่าไกด์เค้าจะพูดเป็นภาษาเยอรมันล้วน ซึ่งฉันฟังไม่ออกเลย แต่แค่เข้าไปดู และถ่ายรูปเฉย ๆ ก็คุ้มแล้ว ห้องแรกที่ได้เข้าชมคือ Planetary room ซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ บนพื้นมีลายตารางหมากรุก ประดับประดาด้วยโคมไฟระย้า Swarovski เต็มไปหมด ส่วนเพดานและฝาผนัง ตกแต่งด้วยภาพเขียนสลับกับลวดลายปูนปั้นแบบ Rococo เต็มพื้นที่ นับว่าอลังการมากทีเดียวสำหรับปราสาทหลังเล็กๆ นี้ 


ในตอนแรก ฉันก็นึกว่าจะเป็นแบบนี้แค่บางห้องเท่านั้น แต่ฉันก็พบว่า ทุกห้องล้วนประดับด้วยโคมไฟ Swarovski และมีภาพเขียนและลายปูนปั้นเต็มเพดาน ย้ำอีกครั้งว่า “ทุกห้อง” จริงๆ จะต่างกันก็แค่ผนังห้องเท่านั้น บางห้อง ลวดลายบนผนังก็จะเป็นศิลปะแบบจีน และแบบญี่ปุ่น และบางห้องยังมีเครื่องเรือนโบราณ เช่น นาฬิกาลูกตุ้มให้เราได้ชมกันอีกด้วย  ไฮไลท์สำคัญก็คือ บานกั้นห้องที่มีลวดลายแบบญี่ปุ่น ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นภาพวาดของ castle town ในโอซาก้า ไฮไลท์ของที่นี่ยังมี Gothic chapel โบสถ์ซึ่งอยู่ในตัวปราสาท ซึ่งแท่นบูชานั้นประดับตกแต่งด้วยลวดลายสีทองอย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังมีห้องนอน ห้องที่มีภาพวาดฝาผนังไม่เหมือนห้องอื่นๆ หรือ Raunacher Room ห้องโถงที่ดูเหมือนไว้สำหรับงานรื่นเริง ฯลฯ ฉันจำไม่ได้แล้วว่าดูไปทั้งหมดกี่ห้อง แต่ว่าแต่ละห้องก็จะมีรายละเอียดที่น่าประทับใจไม่ซ้ำกันเลย



2.    Alte Galerie: ที่นี่รวบรวมภาพเขียน และประติมากรรมตั้งแต่ยุคกลาง ยุคเรอเนสซอง มาจนถึงยุคปลายของศตวรรษที่ 18 งานในยุคกลางนั้น แทบทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับพระเยซู และศาสนาคริสต์ทั้งสิ้น ส่วนยุคเรอเนสซองนั้นก็จะเป็นศิลปะที่เกี่ยวกับเทพปกรนัมภ์กรีกซะเป็นส่วนใหญ่

3.    Coin Cabinet: พิพิธภัณฑ์เหรียญแห่งนี้ เก็บสะสมเหรียญที่ทำจากโลหะของแคว้น Styria ตั้งแต่ยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรืองจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 เลยทีเดียว




4.  Garden: ในบริเวณรอบๆปราสาทนี้ มีสวนอยู่ทั้งหมดสามบริเวณด้วยกัน บริเวณแรกคือสวนบริเวณหน้าปราสาท อยู่ระหว่างประตูทางเข้าถืงบริเวณตัวปราสาท ที่นี่มีสนามหญ้ากว้าง ต้นไม้ใหญ่ มีม้านั่งและทางเดิน เหมือนสวนสาธารณะยังไงยังงั้นเลย ส่วนบริเวณที่สอง เรียกว่า Rose Mound เป็นเนินเล็กๆขึ้นไปทางด้านข้างปราสาท ซึ่งด้านบนสุดจะมีที่ให้นั่งชมวิว ส่วนสองข้างทางเดินขึ้น จะปลูกกุหลาบนานาพันธุ์ รวมทั้งดอกไม้ชนิดอื่นๆด้วย และสวนบริเวณสุดท้ายนั้น จะอยู่ด้านหลังของปราสาท เรียกว่า Planetary garden เป็นสวนที่จัดตกแต่งตามหลักสถาปัตยกรรมอย่างดี มีแนวรั้วต้นไม้ ซุ้มไม้เลื้อย บ่อน้ำพุ รูปปั้น และทางเดินสำหรับชมสวน



5.    Archaeology museum: พิพิธภัณฑ์นี้แยกตัวออกมาจากตัวปราสาทแต่ก็ยังอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพียงแต่ต้องเดินเลย Planetary garden มาอีกหน่อย ที่นี่เก็บรวบรวมวัตถุโบราณที่ขุดพบในบริเวณแคว้น Styria และอียิปต์โบราณ นอกจากนี้ยังมี workshop ทางโบราณคดีสำหรับเด็กๆอีกด้วย


FYI: เข้าชมรายละเอียดเกี่ยวกับนิทรรศการชั่วคราว และถาวร รวมทั้งค่าเข้าชมได้ที่เว็บไซต์นี้

และในที่สุด ในวันอันแสนมืดครึ้มนั้น ฟ้าก็เป็นใจ เปิดทางให้ดวงอาทิตย์ได้มีโอกาสสาดแสงในช่วงสุดท้ายของวัน ฉันจึงเดินชมสวนของปราสาทได้อย่างเพลิดเพลินจำเริญใจ และปริ่มเปรมสุดๆ เนื่องจากไม่ได้เสียเงินแม้แต่ยูโรเดียว :)



Grazer Altstadt: เดินกินลม ชมเมืองเก่า

10.6.2014

“The best preserved city centre of central Europe”

ข้อความในแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของเมือง เตะตาฉันอย่างจัง
และยังมีข้อมูลอีกว่าย่าน old town นี้ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดย UNESCO ตั้งแต่ปี 1999
อืม ฉันเคยเดินผ่านย่านนั้นแบบแว่บไปแว่บมา คราวนี้จะลองไปสำรวจทุกซอกทุกมุมบ้าง

ในวันอาทิตย์ที่ฟ้าสดใสเป็นใจต่อการถ่ายรูป ฉันกางแผนที่ แล้วออกเดิน พร้อมกับกล้องถ่ายรูปคู่หู

ฉันเริ่มต้นที่ Landhaus ซึ่งอยู่ติดกับ Landeszeughaus หรือพิพิธภัณฑ์อาวุธโบราณ ตามคำแนะนำของแผ่นพับ บริเวณ inner courtyard หรือลานกว้างที่อยู่ระหว่างอาคารนั้น เป็นศิลปะแบบ Italian Renaissance ผลงานการออกแบบของ Domenico dell’Allio คนเดียวกับที่ออกแบบ The Great Well บน Schlossberg ปัจจุบันตัวอาคารของ Landhaus นั้นใช้เป็นที่ประชุมของรัฐสภาแห่งแคว้น Styria ฉันเงยหน้ามองไปยังซุ้มโค้งระหว่างเสาที่อยู่รอบๆ เห็นความเรียบง่าย แต่ก็มีความเนี้ยบอยู่ในตัวเอง เหมาะกับการเป็นสถานที่สำคัญของเมืองจริงๆ 



เมื่อแผ่นพับแนะนำให้ไปชม inner courtyard  อีกแห่ง ฉันจึงเดินตามถนน Herrengasse ย้อนมาทาง town hall แล้วผลุบเข้าไปในอุโมงค์ Generalihof ของบ้านเลขที่ 9 ตรงนี้ inner courtyard มีความสวยงามน่ารัก ต่างไปจากของ Landhaus ถัดจากตรงนั้นมาอีกนิด ฉันเห็นผนังอาคารของบ้านเลขที่ 7 ที่มีภาพวาดเทพเจ้ากรีกเต็มไปหมด แผ่นพับแสนรู้บอกกับฉันว่าภาพพวกนี้เป็นภาพวาดแบบปูนเปียกโดยศิลปินยุคบาโร้ก Johann Mayer




ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปยังถนน Sporgasse เจ้าแผ่นพับนำเที่ยวแสนรู้เจ้าเดิม ก็ชี้ชวนให้ฉันสังเกตุตึกที่มีลวดลายปูนปั้นประดับสวยงาม เรียกว่า Luegghaus ซึ่งอยู่บริเวณหัวมุมของถนนพอดี และเมื่อเลี้ยวเข้าไปตามถนน ฉันก็พบกับร้านค้ามากมาย ทั้งร้านขนมปัง ไอศกรีม ร้านเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ร้านหนังสือ ฯลฯ ตลอดสองฝั่งถนน และเนื่องจากที่เมืองกราซนี่ขึ้นชื่อเรื่อง inner courtyard ฉันจึงได้เลี้ยวเข้าไปยัง บ้านเลขที่ 22 และได้ชมซุ้มประตูโค้งแบบ Gothic ที่น่ารักโรแมนติกด้วยการประดับกระถางดอกไม้ตามระเบียงหน้าต่าง 





ตรงข้ามกับ Sporgasse 22 จะมีโบสถ์เล็กๆแห่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ ชื่อว่า Stiegenkirche ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่แห่งนึงของเมือง จากนั้น ฉันเดินเลี้ยวไปยังถนน Hofgasse ซึ่งมีไฮไลท์อยู่ที่ร้านเบเกอรี่ Edegger-Tax ซึ่งหน้าร้านตกแต่งอย่างสวยงามด้วยงานไม้ทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่วันนั้นเป็นวันที่ร้านปิด จึงอดชิมขนมขึ้นชื่อ นั่นคือบิสกิต Sissibusserl หรือ Kaiserzwieback ซึ่งในภายหลังฉันได้มีโอกาสซื้อมากิน แล้วก็พบว่ามันอร่อยมาก ยอดเยี่ยมที่สุด



ฉันเดินตามถนนเส้นนั้นไปเรื่อยๆ แล้วพบกับโรงละคร หรือ Schauspielhaus ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีการจัดแสดงละครเวทีอย่างต่อเนื่อง ถัดไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็จะเป็นบริเวณของ Burg ที่ทำการรัฐสภาแคว้น Styria ที่นี่จะมีบันไดวนแบบพิเศษ นั่นคือแยกออกไปสองด้านแล้ววนมาชนกัน เรียกว่า double spiral staircase สร้างขึ้นในปลายสมัย Gothic จากนั้น ฉันเดินสำรวจลึกเข้าไปในบริเวณ Burg แล้วก็เจอกับประตูทางเข้าสวน หรือ Burggarten เข้า ฉันย่างเท้าเข้าไป สวนนั้นกินบริเวณไม่กว้างมากนัก หากแต่ร่มรื่นและสวยงาม เหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหย่อนใจ อ่านหนังสือจิบชายามบ่ายเป็นที่สุด แต่เมื่อดูนาฬิกา “อ้าว! ใกล้เวลาบ่ายสามโมงแล้วนี่นา” ฉันจึงต้องรีบจ้ำออกมาจากสวนสวยแห่งนั้น เพื่อมาดูตุ๊กตาเต้นระบำที่ Glockenspielplatz ให้ทันเวลา



บริเวณ Glockenspielplatz นั้น เป็นบริเวณเดียวกันกับร้าน Glockenbrau ร้านขึ้นชื่อ ที่ฉันกับเพื่อนเคยมากินเมื่อช่วงวันหยุดอีสเตอร์ที่ผ่านมา ตุ๊กตาเต้นระบำที่นี่มีเวลาทำการ 3 เวลาค นั่นคือสิบเอ็ดโมงเช้า บ่ายสามโมง และหกโมงเย็น ฉันเดินมาถึงก่อนเวลาห้านาที จึงเดินแตร่แถวนั้นระหว่างรอเวลา ใกล้ๆกันนั้นจะมีบริเวณทีเรียกว่า Faberplatz ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหารหลายร้าน รวมทั้งร้านกาแฟ และบาร์ และมีสิ่งก่อสร้างสวยงาม ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Renaissance ให้เราได้ชม



ว่ากันว่า ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าแห่งเมืองกราซ เนื่องจากเราอาจถูกพลังงานบางอย่างดึงดูดให้อยู่ที่นี่โดยที่เวลาผ่านหลายชั่วโมงแบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว เมื่อนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสามโมงตรง เสียงระฆังดังขึ้น ตุ๊กตาหญิงชาย แต่งกายชุดพื้นเมืองก็ออกจากประตู แล้วเต้นหมุนไปหมุนมาพร้อมๆกับทำนองเพลงเป็นเวลาราวๆ 5 นาที ยาวนานสาแก่ใจมาก แล้วตุ๊กตาทั้งสองก็กลับเข้าประตูไป นักท่องเที่ยวที่มายืนดูต่างประทับใจหน้าบานกันเป็นทิวแถว รวมทั้งฉันด้วย



เมื่อเสร็จภารกิจที่เป็นไฮไลท์สำคัญแล้ว ฉันก็สาวท้าวย้อนกลับไปตามถนน Burgergasse เพื่อตามเก็บสิ่งที่น่าสนใจบริเวณนั้นให้ครบ เริ่มจาก inner courtyard (อีกแล้ว) ของ Preists’ seminary ซึ่งมีสโนว์แมน พร้อมบ่อน้ำอยู่ตรงลาน เหมือนจะเป็นกุศโลบายอะไรซักอย่างเกี่ยวกับฤดูกาล



ฉันเดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง เจอกับวิหารของกษัตริย์ Friedrich ที่ 3 และสุสานของกษัตริย์ Ferdinand ที่ 2 หรือ Mausoleum ฉันเริ่มเข้าไปดูด้านในของ Mausoleum ก่อน โดยต้องเดินอ้อมไปเข้าทางด้านหลัง เมื่อจ่ายค่าตั๋วเสร็จเรียบร้อย ฉันผลักประตูเข้ามา พบกับห้องโถงใหญ่ มีแท่นบูชาที่ทำจากหินอ่อนซึ่งงดงามมาก ส่วนภาพจิตรกรรมฝาผนังบนเพดานก็วิจิตรไม่แพ้กัน ห้องถัดมาจะเป็นแท่นที่วางพระศพจำลองของกษัตริย์ Ferdinand ซึ่งประดับประดาด้วยรูปปั้นสีทอง ดูเหมือนจะหมดแค่นี้ แต่ฉันดันเหลือบไปเห็นบันไดลงชั้นใต้ดิน เมื่อเดินตามทางลงไป แม้ทางเดินนั้นไม่ยาวเท่าไหร่ แต่ฉันก็แอบหวาดๆเล็กน้อยเนื่องจากมันค่อนข้างมืด ห้องด้านล่างนั้นคือตัวสุสาน ซึ่งมีโลงศพตั้งอยู่ตรงกลาง ฝาผนังห้องก็ประดับด้วยภาพวาด และลวดลายปูนปั้นเช่นเคย ขณะอยู่ในห้องนี้ ฉันสัมผัสได้ถึงความเก่าแก่ โบราณ แล้วก็ลึกลับ เหมือนตัวเองเข้าไปอยู่ในหนังเรื่อง Indiana Jones ตอนสำรวจสุสานโบราณยังไงยังงั้น ด้วยความหวั่นเกรงว่าผีฝรั่งจะโผล่ออกมาเสริมความตื่นเต้น ฉันเลยรีบออกมา แล้วปีนบันไดขึ้นไปสูดอากาศบนหอระฆังของ Mausoleum ซึ่งเป็นหอระฆังเล็กๆ มีหน้าต่างให้เราชมวิวเล็กน้อย ฉันขึ้นไปยืนซักพัก ระฆังก็ตีบอกเวลาพอดี เล่นเอาแก้วหูแทบแตกแน่ะ



จบจากการสำรวจสุสานโบราณที่ Mausoleum ฉันก็มาเข้าชมวิหารต่อ ต้องขอบอกว่าฉันเผลอเข้าไปดูภาพวาด The Crucifixion ของ Conrad Laib โดยไม่ได้ตั้งใจ นึกว่าทางนั้นเป็นทางเข้าโบสถ์ รู้ตัวอีกทีก็ซื้อตั๋วแล้วเดินขึ้นบันไดมายืนจ้องภาพพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนซะแล้ว และเมื่อเดินขึ้นบันไดมาอีกชั้นก็จะเป็นห้องใต้หลังคา ซึ่งมีหน้าต่างให้เราส่องดูภายในวิหารจากมุมสูงได้นิดหน่อย ฉันลงจากตรงนั้นมาด้วยความงงว่า แล้วทางเข้าวิหารอยู่ไหน? พนักงานขายตั๋วบอกกับฉันว่าต้องไปเข้าทางประตูอีกด้านนึง ฉันจึงเดินอ้อมไป ภายในตัววิหารนั้นยิ่งใหญ่อลังการมาก ทั้งแท่นบูชาหินอ่อน หลังคาโค้งสูง ออร์แกนโบสถ์โคมไฟระย้า ภาพบนฝาผนัง แม้แต่เก้าอี้นั่งก็ยังสวย สมเป็นวิหารของกษัตริย์จริงๆ 



คู่มือท่องเที่ยวที่รักบอกให้ฉันเดินมายัง Stemfergasse ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นไฮไลท์ของการช้อปค่ะ เพราะเต็มไปด้วยร้านขายเสื้อผ้าหรูหรา แบรนด์ดังระดับอินเตอร์ แต่เมื่อมาถึง ร้านปิดหมด เพราะเป็นวันอาทิตย์! แต่อ้อ! ยังมีอะไรให้ชมอีกนิด เป็น inner courtyard ของที่ที่ครั้งนึงเคยเป็นที่อยู่ของ Johannes Kepler นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ณ Stempfergasse เลขที่ 6




ถนนสายนั้นนำพาฉันกลับมายัง Herrengasse ถนนเส้นหลักเส้นเดิมตอนเริ่มต้น ที่สุดท้ายในบริเวณ old town ที่ฉันไปคือ Stadtfarrkirche โบสถ์ประจำเมือง ซึ่งมีหน้าต่างบานใหญ่ประด้วยกระจกสีเป็นลวดลายต่างๆ ซึ่งมีภาพของ Hitler และ Mussolini รวมอยู่ในนั้นด้วย เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนให้นึกถึงช่วงเวลาอันมืดมน



ปล. ที่กราซจะมีร้านไอศครีมยี่ห้อ Cherly Temmel ซึ่งตั้งอยู่บนถนน Herrengasse นั่นแหละ ฉันมักแวะซื้อกินตอนมาเดินเที่ยวแถวๆนี้ เพราะติดใจไอศครีมรส Truffle orange มากๆ เพราะนอกจากช็อกโกแลตแสนอร่อยแล้ว ยังมีเปลือกส้มชิ้นเล็กๆ เปรี้ยวๆ ให้เคี้ยวกรุบๆ รสชาติตัดกันแบบพอดิบพอดี แค่นี้ก็ฟินสุดๆแล้ว :)